บทความนี้จะอธิบายทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับ Nofollow Link มันคืออะไร ทำไมพวกมันถึงสำคัญ และมีผลกับ SEO หรือไม่ อย่างไร
Nofollow Link คืออะไร ?
“โนฟอลโลว์ ลิงก์” เป็นลิงค์ที่กำหนดโดยการใส่แท็ก rel=”nofollow” ใน HTML Link
- ใช้เพื่อบอกให้ Bot ของ Search Engine “ไม่ต้องตามไปเก็บข้อมูลในหน้าเว็บปลายทาง”
- ใช้เพื่อบอกให้ Bot ของ Search Engine “ละเว้นการส่งต่อคะแนนทาง SEO ไปยังหน้าเว็บปลายทาง”
NOTE: โดยทั่วไปเมื่อเราทำการใส่แท็ก rel=”nofollow” ให้กับลิงก์แล้ว Bot จะไม่ตามไปยังหน้าเว็บปลายทาง *แต่มีบางกรณีที่ Bot อาจจะตามไป
ความแตกต่างของ Nofollow และ Dofollow Links
ความแตกต่างนั่นคือ
<a href="https://www.papayiw.com/contact/">ติดต่อเรา</a>
“ดูฟอลโลว์ ลิงก์” ช่วยในการจัดอันดับ (Bot ตามไปเก็บข้อมูลหน้าเว็บปลายทาง, ส่งต่อคะแนนทาง SEO)
<a href="https://www.papayiw.com/contact/" rel="nofollow">ติดต่อเรา</a>
“โนฟอลโลว์ ลิงก์” ไม่ได้ทำเช่นนั้น
วิธีเช็ค Nofollow Link
เช็คแบบ Manual
คลิกขวาบริเวณ Text Link ที่ต้องการตรวจสอบ เลือก “Inspect”
เช็คด้วย Nofollow Chrome Extension
NoFollow Extension ตอบโจทย์และใช้งานง่าย
เมื่อติดตั้งและเปิดใช้งานแล้ว, Extension จะตีกรอบสีแดงให้กับ Text Link ที่เป็น Nofollow แบบอัตโนมัติ
หากต้องการปิดการใช้งานก็แค่เลือก “Disable for this website”
ลิงก์จากไหนบ้างที่เป็น โนฟอลโลว์ ?
ลิงก์จากแหล่งที่มาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นลิงก์แบบ โนฟอลโลว์
- ลิงค์ในกระทู้
- ลิงก์จากคอมเมนต์ในบล็อก
- ลิงก์จากโซเชียลมีเดีย (เช่น ลิงก์ในโพสต์ Facebook)
- ลิงก์จากเว็บไซต์ข่าวใหญ่ ๆ
- ลิงก์ขาออกจากเว็บไซต์ยอดนิยม ที่ถูกกำหนดให้เป็น โนฟอลโลว์ ทั้งหมด เช่น
- Pantip
- YouTube
- Wikipedia
Google สร้าง Nofollow Tag ขึ้นมาเพื่ออะไร ?
Google สร้าง nofollow tag ขึ้นมา “เพื่อป้องกันสแปม” จากลิงก์ที่มาจาคอมเมนต์ในบล็อกต่าง ๆ, เมื่อก่อนมีคนนิยมทำ Backlink ด้วยการสแปมคอมเมนต์ (กูเกิลมองว่าไร้คุณภาพ)
ปัจจุบัน nofollow tag ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในทุก Search Engine
Nofollow Link มีผลกับ เอสอีโอ หรือไม่ ?
แน่นอนครับ มีผลอยู่แล้ว โดยขอแยกออกเป็น 2 ความคิดเห็นหลัก
ความคิดเห็นที่ 1
“โนฟอลโลว์ ลิงก์” ไม่ได้ช่วยให้หน้าเว็บที่ได้รับลิงก์มีอันดับดีขึ้น (ไม่ได้ช่วยในทางตรง)
- ในกรณีของ “ลิงก์ภายนอกที่เข้ามา (Backlink)” Bot ไม่ได้ตามเข้ามาเก็บข้อมูล (บางกรณีอาจมีหลุดมาบ้าง) และไม่ได้ส่งต่อคะแนนทาง SEO
- ในกรณีของ “ลิงก์ระหว่างหน้าภายในเว็บไซต์ของเราเอง (Internal Link)” แสดงให้เห็นว่าหน้าเว็บนั้น ๆ ไม่ได้มีความสำคัญ Bot ไม่ต้องตามไปหรือให้คะแนน
ความคิดเห็นที่ 2
กูเกิลถือว่า ลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ที่ถูกตั้งค่าเป็น Nofollow – “นับเป็น Backlink ประเภทหนึ่ง” (ในแบบที่ไม่ได้ส่งต่อคะแนนทาง SEO) นั่นแสดงว่า อันที่จริงแล้วมันต้องมีคุณค่าบางอย่าง อย่างมีนัยสำคัญ
เพิ่มเติม
ไม่ว่าแบล็คลิงก์ที่เราได้นั้นจะเป็นแบบ Dofollow หรือ Nofollow ก็จงยินดีรับไว้เถอะครับ แต่ละแบบมีข้อดีในแบบของมันเอง โดยผมจะพูดถึงข้อดีในด้านอื่น ๆ ของ Nofollow ไว้ที่หัวข้อถัดไป
ประโยชน์ของ โนฟอลโลว์ ลิงก์ ในด้านอื่น ๆ
1. ช่วยให้ทราฟฟิก การเข้าชมหน้าเว็บของคุณเพิ่มขึ้น
เช่น
- ลิงก์ที่มาจาก การแชร์บทความบน Social Media ต่าง ๆ, ผู้ใช้คลิก > ตามเข้ามาอ่านเนื้อหา บนเว็บไซต์ของเรา
- ลิงก์ที่มาจาก การโปรโมทเนื้อหาบนเว็บไซต์ภายนอก, ผู้ใช้คลิก > ตามเข้ามาอ่านเนื้อหา หรือดูบริการ บนเว็บไซต์ของเรา
2. ช่วยนำพาผู้ใช้งาน ไปยังหน้าที่ต้องการ
เช่น
- ลิงก์ไปยัง หน้าลงทะเบียน เพื่อการสมัครสมาชิก
- ลิงก์ไปยัง หน้าการติดต่อ เพื่อดูข้อมูลการติดต่อ
การใช้งาน โนฟอลโลว์ ลิงก์ บนเว็บไซต์ของเรา
แบ่งออกเป็น 2 กรณี
1. ลิงก์ระหว่างหน้าเว็บไซต์ภายใน
เราใช้แท็ก rel=”nofollow” กับลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยัง “หน้าเว็บที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ ในการจัดอันดับ” (ลิงก์ไปเพื่ออ้างอิงก์, ลิงก์ไปเพื่อให้ผู้ใช้ทำ Action บางอย่าง) เช่น หน้าติดต่อเรา หน้าลงทะเบียน
2. ลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ภายนอก
เราใช้แท็ก rel=”nofollow” กับลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บภายนอก (ในบางโอกาส) “เมื่อไม่ต้องการให้คะแนนทาง SEO เรารั่วไหลออกไป” (ลิงก์ไปเพื่ออ้างอิงที่มาข้อมูล, ลิงก์ไปเพื่อให้คนอ่านข้อมูลเพิ่มเติม)
สรุป
หวังว่าบทความนี้จะอธิบายให้ทุกท่านได้เข้าใจเกี่ยวกับ “โนฟอลโลว์ ลิงก์” มากยิ่งขึ้น และนำความรู้ดังกล่าวไปปรับใช้กับการทำลิงก์ทั้งภายในและภายนอก ได้ดียิ่งขึ้นนะครับ
แล้วถ้าลิ้งค์นั้นเป็น affiliated ละคะ
สำหรับลิงก์ Affiliate อยู่ที่เราจะกำหนดครับ เราสามารถตั้งได้ทั้ง Nofollow และ Dofollow
แล้วถ้าเว็บเราใส่เป็น nofollow ให้อัตโนมัติ แก้กลับไปให้เป็น dofollow ยังไงคะ
ให้ทำการตรวจสอบก่อนครับว่าการใส่ noffolow ให้อัตโนมัตินั้น มาจากการตั้งค่าหลังบ้านหรือเกิดจากฟังก์ชันใด ๆ ของตัวเว็บไซต์หรือไม่ จากนั้นจึงไปทำการปรับแก้ตรงนั้นครับ
หากเป็นลิงก์ธรรมดาในหน้าเว็บให้ทำการแก้ไข html tag จาก nofollow เป็น dofollow ได้เลยครับ